เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า Power Bank ทั่วไปหรือจะเป็น Premium Power Bank แบตสำรองที่เราใช้ในการชาร์จโทรศัพท์มือถือ สมาร์ทโฟนแทบเล็ต หรืออุปกรณ์อื่นอีกมากมายนั้น นับว่าเป็นอุปกรณ์สามัญประจำตัวของผู้คนยุคใหม่หลายคนในปัจจุบันเลยทีเดียว เนื่องจากทุกวันนี้ บรรดาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากมายนับว่าจำเป็นต่อทั้งในเรื่องของการเรียน และการทำงานหลากหลายอย่าง และการที่จะทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ สามารถที่จะใช้งานได้อย่างต่อเนื่องและมีความยืดหยุ่นสูงมากที่สุด อย่างน้อยการที่เราพกพา Power Bank ก้อนสองก้อนติดตัวอยู่ตลอดนั้น จะช่วยในเรื่องนี้มากเลยทีเดียว
แต่อุปกรณ์ Power Bank ของเราก็เปรียบเสมือนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชิ้นอื่น เมื่อใช้ไปสักระยะหนึ่ง จะเกิดการเสื่อมสภาพ หรือแบตเตอรี่คลายประจุตามกาลเวลา จะเสื่อมสภาพเร็วหรือช้านั้นก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพแต่เริ่มต้นของอุปกรณ์ Power Bank นอกจากนี้การเสื่อมสภาพยังขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมภายนอกมากมายหลากหลายอย่างด้วย ทั้งในเรื่องของการเก็บรักษา อุณหภูมิ หรือการกระทบกระทั่งจากภายนอกอื่น เหล่านี้ก็อาจเป็นเหตุให้ Power Bank ของเราเกิดการเสื่อมสภาพมากขึ้นด้วย
แต่เราจะสามารถเช็คได้อย่างไร ว่าอุปกรณ์ Power Bank ของเรานั้นเริ่มเสื่อมสภาพขึ้นบ้างแล้ว หรืออาจเกิดความเสียหายได้บ้างแล้ว วันนี้เราจะมากล่าวกันถึง 2 จุดหลัก ที่เราจะสามารถเช็คได้ว่า อุปกรณ์ของเรานั้นเสื่อมสภาพมากน้อยเพียงใดแล้ว ซึ่งปัจจัยเหล่านี้นับว่าเป็นปัจจัยเบื้องต้นที่ควรพิจารณาเป็นอันดับแรก นั่นคือเรื่องของความสามารถในการกักเก็บแบตเตอรี่ และความสามารถในการชาร์จไฟให้กับอุปกรณ์นั่นเอง
ความสามารถในการกักเก็บแบตเตอรี่ของ Power Bank ลดลง
ความสามารถในการกักเก็บแบตเตอรี่ของตัว Power Bank หรือการกักเก็บพลังงาน ถือเป็นจุดหนึ่งที่อาจจะบ่งบอกได้เลยว่า อุปกรณ์แบตสำรองของเรานั้นเกิดการเสื่อมสภาพมากน้อยเพียงใดแล้ว โดยทั่วไปปกตินั้น แบตสำรองแต่ละอันไม่ได้มีความสามารถ ที่จะกักเก็บแบตเตอรี่ได้เต็มร้อยอยู่แล้ว อันนี้เราต้องทำความเข้าใจก่อน อย่างหากเรานำแบตสำรองของเรา มาเสียบชาร์จกับสมาร์ทโฟน แต่เดิมแบตสำรองของเราอาจมีแบตเตอรี่อยู่ข้างในเพียงแค่ 90 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น นี่ไม่ได้หมายความว่าอุปกรณ์แบบสำรองของเราเสื่อมสภาพหรือเสียหายแต่อย่างใด แต่เกิดจากการคลายประจุ ซึ่งสิ่งนี้จะเกิดขึ้นตลอดเวลาการใช้งาน ดังนั้นวิธีการสังเกตว่า ความสามารถในการกักเก็บแบตเตอรี่ของเรามีความผิดปกติหรือไม่ ให้ดูที่ปริมาณพลังงาน หรือความสมเหตุสมผลของระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอรี่เป็นหลัก
ยกตัวอย่างเช่น ในตัวแบตสำรองของเรา หากมีแบตเตอรี่อยู่ข้างในเต็ม เมื่อเวลาผ่านไป 24 ชั่วโมง หากตรวจสอบแบตเตอรี่ที่อยู่ภายในแบตสำรองของเรา ลดลงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 50 หกเปอร์เซ็นต์ นั่นหมายความว่า อุปกรณ์ของเรามีความเสื่อมที่ผิดปกติเป็นอย่างมาก ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเป็นอันดับแรกเลย ว่าแบตสำรองของเราอาจเกิดการเสื่อมสภาพบ้างแล้ว
ความสามารถในการชาร์จไฟให้กับอุปกรณ์ลดลง
นอกเหนือจากความสามารถในการกักเก็บแบตเตอรี่แล้ว อีกจุดหนึ่งที่สามารถสังเกตเห็นได้ง่ายเช่นกัน คือความสามารถหรือประสิทธิภาพในการชาร์จไฟให้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น เมื่อเราใช้งานอุปกรณ์ Power Bank ไปสักระยะหนึ่ง แน่นอนว่าเราจะสามารถสังเกตเห็นว่า ประสิทธิภาพในการชาร์จไฟให้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นนั้นเปลี่ยนไป สังเกตง่ายสุดคือเรื่องของระยะเวลา ยกตัวอย่างเช่น หากแต่เดิมเราชาร์จไฟให้กับสมาร์ทโฟนของเรา เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ใช้เวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมงเพียงเท่านั้น หากนานวันเข้า เราใช้เวลานานกว่านั้น หรืออาจจะนานกว่านั้นจนเกินไป ก็ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่า อุปกรณ์แบตสำรองของเราอาจเกิดการเสื่อมสภาพแล้ว
ความผิดปกติอื่น
นอกจากนี้ เรายังสามารถตรวจเช็คในส่วนอื่นได้ด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราเสียบชาร์ตแบตสำรองไว้ อาจเกิดความร้อนผิดปกติ หรือตัวแบตสำรองของเรามีอาการบวม มีรูปทรงผิดเพี้ยนไปจากปกติ หรืออาจเกิดจากการใช้ สายชาร์จ USB ที่ไม่ได้มารตฐาน จึงทำให้ Power Bank จ่ายไฟได้ไม่ดีซึ่งเหล่านี้อาจเกิดขึ้นจนทำให้อุปกรณ์แบตสำรองของเราเสื่อมสภาพ ทางที่ดีที่สุดเราควรหยุดใช้งานทันที และหาซื้ออันใหม่มาใช้ น่าจะดีกว่า