ทุกวันนี้ เราพกสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตการติดตัวอยู่เสมอ จนอุปกรณ์เหล่านี้กลายเป็นอุปกรณ์ที่เราขาดกันไปไม่ได้เสียแล้ว แต่ก็มีอีกอุปกรณ์หนึ่งที่เรามักจะพกติดตัวคู่กับ 2 อุปกรณ์เหล่านี้ อุปกรณ์นั้นที่ว่าก็คือ Powerbank หรือแบตสำรองนั่นเอง หลักเกณฑ์การเลือกแบตสำรองหรือ Powerbank นี้ หลายคนก็จะมีวิธีการเลือกซื้อที่แตกต่างกันออกไป อาจจะเลือกในเรื่องของสี หรืออัตราการชาร์จแบตเตอรี่เร็ว และอีกปัจจัยที่มีความสำคัญมากๆ ที่เรามักจะเลือกเมื่อต้องเลือกซื้อ Powerbank นั่นก็คือ เรื่องของแบตเตอรี่หรืออัตราความจุ
วันนี้เราจะมาว่ากันด้วยเรื่องนี้ อัตราความจุของแบตเตอรี่ที่เราจะเลือกดูจาก Powerbank ของเรา เรามีหลักการดูอย่างไร เพื่อที่จะได้ซื้อมาถูกใจ และไม่ต้องเปลี่ยนใหม่บ่อยๆ
รู้ขนาดความจุของแบตเตอรี่อุปกรณ์ของเราก่อน
ก่อนที่เราจะทำการเลือกซื้อ Powerbanพร้อมPackage Powerbank หรือต้องการดูว่า Powerbank ที่เราต้องใช้ควรมีความจุอยู่ที่เท่าไหร่ อันดับแรกที่เราต้องรู้คือ อุปกรณ์มือถือหรือแท็บเล็ตที่เราจะใช้ในการชาร์จไฟนั้น มีขนาดความจุแบตเตอรี่อยู่ที่เท่าไหร่ เพื่อที่เราจะได้รู้ว่า Powerbank ที่เราควรจะซื้อจะมีความจุกี่มิลลิแอมป์ วิธีการตรวจสอบนั้น ในคู่มือการใช้งานของอุปกรณ์จะมีบอกอยู่ หรือไม่ให้เราตรวจสอบทางอินเตอร์เน็ตดู เดี๋ยวนี้ข้อมูลหาได้ไม่ยาก และจากนั้นดูว่า ด้วยความจุแบตเตอรี่ของ Powerbank ของเรา และความจุแบตเตอรี่ของอุปกรณ์ของเรา สามารถที่จะชาร์จไฟได้จำนวนกี่ครั้ง
เข้าใจระบบไฟฟ้าพื้นฐาน
ก่อนเราจะต้องรู้ว่า แบตสำรองของเรามีความจุไฟฟ้าเข้าและออกอย่างไร ก่อนจะรู้ว่ามีความจุกี่มิลลิแอมป์ หรืออุปกรณ์แบตสำรองของเราชาร์จไฟได้กี่ครั้ง หรือเรื่องสูตรคำนวณไฟฟ้า แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรู้พื้นฐานของระบบไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกระแสไฟฟ้า แรงดันไฟฟ้า และวัตต์
แรงดันไฟฟ้า (มีหน่วยเป็นโวลต์ V) หมายถึงแรงขับเคลื่อนทางไฟฟ้า ซึ่งจะทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนอิสระตลอดเวลา ดังนั้นกระแสไฟฟ้าจะไหลอยู่ตลอดเวลา แรงเคลื่อนไฟฟ้านี้อาจมาได้จากหลายแหล่งเช่น เพื่อนกำเนิดไฟฟ้า ถ่านไฟฉาย หรือแบตเตอรี่ รวมถึงในแบตสำรองของเราด้วย
กระแสไฟฟ้า (มีหน่วยเป็นแอมแปร์ หรือแอมป์ A) หมายถึงการเคลื่อนที่หรือการไหลของอิเล็กตรอน หรือก็คือการถ่ายโอนประจุไฟฟ้า ผ่านจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ซึ่งผ่านวัสดุที่เป็นตัวนำ กระแสไฟฟ้าจะเคลื่อนที่จากจุดที่มีศักย์ไฟฟ้าสูงไปยังจุดที่มีศักย์ไฟฟ้าต่ำกว่า และเรื่องของการคำนวณจะใช้กระแสไฟฟ้ามาคำนวณร่วมด้วย
สุดท้ายคือเรื่องของกำลังไฟฟ้า (ซึ่งมีหน่วยเป็นวัตต์ Watt) คืออัตราการเปลี่ยนแปลงพลังงาน หรือก็คือหน่วยวัดกำลังไฟฟ้า ที่บอกว่าอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดที่ทำงาน มีกำลังไฟฟ้าอยู่เท่าไหร่ แต่ละอุปกรณ์ไฟฟ้าก็จะใช้วัตต์ที่ไม่เท่ากัน เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีวัตต์สูงก็จะกินไฟมากกว่า
สูตรการคำนวณของเราในการใช้ไฟฟ้าพื้นฐานคือ P = IV (P = วัตต์ I = กระแสไฟฟ้า V = แรงดันไฟฟ้า) ยกตัวอย่างเช่น แบตสำรองความจุ 10,000 มิลลิแอมป์ หรือเท่ากับ 10 แอมป์ แรงดันไฟฟ้า 5 โวลต์ แบตเตอรี่สำรองก้อนนี้จะให้พลังงานเท่ากับ 10*5 = 50 วัตต์
แบตสำรองความจุกี่มิลลิแอมป์ ชาร์จไฟกี่ชั่วโมงเต็ม และสามารถชาร์จไฟออกได้กี่ครั้ง
หลักการในการคำนวณแบบสำรองความจุนั้น หน่วยที่เราใช้จะมีหน่วยเป็นมิลลิแอมป์ หมายความว่า แบตเตอรี่ก้อนนี้สามารถที่จะจ่ายไฟฟ้าได้กี่มิลลิแอมป์ใน 1 ชั่วโมง ยกตัวอย่างเช่น แบตสำรองของเรามีความจุ 10,000 มิลลิแอมป์ แสดงว่าแบตเตอรี่ก้อนนี้จะสามารถจ่ายไฟฟ้าได้อยู่ที่ 10,000 มิลลิแอมป์ของการชาร์จ 1 รอบเมื่อเราชาร์จไฟเต็ม แต่หากอยากรู้ว่า แบตสำรองของเราสามารถที่จะชาร์จได้กี่ชั่วโมงเต็ม หรือสามารถที่จะชาร์จออกได้กี่ครั้งนั้น เราจำเป็นที่จะต้องดูในเรื่องของค่า input และ output
ค่า input นั้น เป็นช่องทางการนำกระแสไฟฟ้าเข้ามายังตัวแบบสำรองของเรา มีหน่วยเป็นแอมป์ ยิ่งมีค่าแอมป์สูงกว่าก็จะสามารถชาร์จไฟได้เต็มเร็วกว่า ส่วนค่า output เป็นค่าพลังงานไฟฟ้าที่จ่ายออกจากแบตสำรอง ไปยังอุปกรณ์ Smartphone หรือ Tablet โดยทั่วไปแล้วจะเริ่มต้นที่ประมาณ 0.5 แอมป์ถึง 1 แอมป์ ไปจนถึง 2.1 แอมป์ หรือ 3 แอมป์ก็มีเช่นกัน ในเรื่องของข้า output นี้จะค่อนข้างมีความสำคัญกว่าค่า input เพราะจะมีผลต่อการเลือกแบตสำรองความจุให้เหมาะสมกับอุปกรณ์ที่เราจะใช้ในการชาร์จ ทั้งนี้ เพื่อดูในเรื่องของความจุของแบตสำรองว่าเราจะสามารถชาร์จไฟกี่ชั่วโมงเต็ม จะได้ไม่เป็นอันตรายต่อตัวผู้ใช้งานยกตัวอย่างเช่น Powerbank eloop