
ปัจจุบัน Power Bank กลายเป็นอุปกรณ์จำเป็นสำหรับผู้ที่ใช้สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบพกพา ซึ่งช่วยให้สามารถใช้งานได้ตลอดวันโดยไม่ต้องกังวลว่าแบตเตอรี่จะหมดกลางทาง อย่างไรก็ตาม ในตลาดมี Power Bank วางจำหน่ายหลากหลายยี่ห้อและรุ่น ทำให้ผู้บริโภคต้องระมัดระวังในการเลือกซื้อ เพราะบางครั้งผู้ผลิตหรือร้านค้าอาจโฆษณาความจุเกินจริง เพื่อดึงดูดลูกค้าให้ซื้อสินค้าของตน ดังนั้น การตรวจสอบความจุจริงของ Power Bank จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าเราไม่ได้ถูกหลอก และได้รับสินค้าที่มีคุณภาพตามมาตรฐานที่ควรจะเป็น
เมื่อพูดถึง Power Bank ผู้ซื้อส่วนใหญ่มักจะเลือกจากค่าความจุ (mAh) ที่ระบุบนตัวเครื่อง เช่น 10,000 mAh หรือ 20,000 mAh แต่คุณรู้หรือไม่ว่าตัวเลขที่แสดงนั้นอาจไม่ใช่ค่าความจุจริงที่สามารถนำไปใช้งานได้ทั้งหมด? เหตุผลสำคัญที่ทำให้ค่าความจุที่ใช้งานจริงแตกต่างจากค่าที่ระบุ คือแรงดันไฟฟ้า (Voltage) และอัตราการสูญเสียพลังงานขณะจ่ายไฟ เนื่องจากแบตเตอรี่ที่ใช้ใน Power Bank มักมีแรงดันไฟฟ้าอยู่ที่ 3.7V แต่เมื่อใช้งานจริง จะต้องแปลงไฟเป็น 5V เพื่อให้สามารถชาร์จอุปกรณ์ต่างๆ ได้ ทำให้เกิดการสูญเสียพลังงานระหว่างกระบวนการนี้ นอกจากนี้ คุณภาพของวงจรภายใน Power Bank เองก็มีผลต่อประสิทธิภาพในการจ่ายไฟ หากวงจรมีคุณภาพต่ำ อาจทำให้พลังงานสูญเสียมากกว่าปกติ
หนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดในการตรวจสอบว่าความจุของ Power Bank ที่ซื้อมานั้นเป็นของแท้หรือไม่ คือการใช้เครื่องวัดพลังงานไฟฟ้า (USB Power Meter) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่สามารถวัดกระแสไฟและแรงดันไฟที่จ่ายออกจาก Power Bank ได้อย่างแม่นยำ เมื่อเสียบ Power Bank เข้ากับอุปกรณ์วัดพลังงาน จะสามารถดูได้ว่าค่าพลังงานที่จ่ายออกมานั้นตรงกับค่าที่โฆษณาหรือไม่ หากพบว่าค่าที่แสดงต่ำกว่ามาก อาจหมายความว่า Power Bank นั้นมีความจุจริงไม่ตรงกับที่ระบุบนฉลาก
อีกวิธีหนึ่งในการคำนวณความจุจริงของ Power Bank คือการใช้สูตรการคำนวณอย่างง่าย โดยนำค่าความจุที่ระบุ (mAh) คูณกับแรงดันไฟฟ้าของแบตเตอรี่ (3.7V) แล้วหารด้วยแรงดันไฟฟ้าที่ใช้ในการชาร์จ (5V) เช่น หาก Power Bank มีค่าความจุ 10,000 mAh ค่าพลังงานที่แท้จริงจะเท่ากับ (10,000 x 3.7) ÷ 5 = 7,400 mAh ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถใช้งานได้จริงเพียง 7,400 mAh เท่านั้น ไม่ใช่ 10,000 mAh ตามที่ระบุไว้ แต่หากค่าที่วัดได้ต่ำกว่าที่คำนวณไว้มาก เช่น เหลือเพียง 4,000 – 5,000 mAh นั่นแสดงว่า Power Bank อาจไม่ได้มีคุณภาพตามที่โฆษณา หรืออาจเป็นของปลอมที่มีแบตเตอรี่คุณภาพต่ำภายใน
อีกหนึ่งปัจจัยที่ควรพิจารณาคือระยะเวลาการชาร์จของ Power Bank หากคุณใช้ที่ชาร์จที่มีกำลังไฟเท่ากับที่รองรับ เช่น ที่ชาร์จ 2A แต่พบว่า Power Bank ใช้เวลานานกว่าปกติในการชาร์จจนเต็ม อาจหมายความว่าความจุจริงต่ำกว่าที่ระบุ เพราะหากเป็น Power Bank ที่มีความจุสูงจริง จะต้องใช้เวลานานในการชาร์จตามสัดส่วน แต่หากชาร์จเต็มเร็วผิดปกติ อาจเป็นไปได้ว่าความจุของแบตเตอรี่ภายในไม่ตรงกับที่โฆษณา
นอกจากนี้ การเลือกซื้อ Power Bank จากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือและมีมาตรฐานเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยป้องกันการถูกหลอกเช่น Premium Power Bank หรืออย่างแบรนด์ Power Bank Eloop ปัจจุบันมี Power Bank ราคาถูกที่ผลิตโดยไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยวางจำหน่ายอยู่มากมาย หากซื้อ Power Bank ที่ไม่ได้มาตรฐาน นอกจากจะได้สินค้าที่มีความจุไม่ตรงปกติแล้ว ยังอาจเสี่ยงต่อการเกิดความร้อนสูงเกินไปจนทำให้แบตเตอรี่ระเบิดหรือเกิดไฟลุกได้ ดังนั้น ควรเลือกซื้อจากผู้ผลิตที่มีชื่อเสียง หรือร้านค้าที่ได้รับการรับรองว่าจำหน่ายสินค้าของแท้เท่านั้น
สุดท้าย การตรวจสอบ Serial Number หรือ QR Code บนตัว Power Bank ก็สามารถช่วยยืนยันได้ว่าสินค้าที่ได้รับเป็นของแท้หรือไม่ ผู้ผลิตแบรนด์ชั้นนำมักจะมีระบบให้ลูกค้าตรวจสอบผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน โดยเมื่อกรอกรหัสแล้ว ระบบจะแสดงข้อมูลของสินค้า หากพบว่าหมายเลขนี้ไม่ตรงกับฐานข้อมูลของผู้ผลิต อาจหมายความว่า Power Bank นั้นเป็นของปลอมและไม่ควรใช้งาน ทั้งนี้ก็ควรเลือกใช้ สายชาร์จ USB ที่มีมาตรฐาน